โรคลมชักเป็นภาวะที่เซลล์สมองสร้างกระแสคลื่นไฟฟ้าออกมาผิดปกติ
สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยทุกช่วงอายุ สาเหตุของโรคลมชักในผู้ป่วยแต่ละรายมีความแตกต่างกันไป
ซึ่งอาจเกิดขึ้นในวัยเด็กจากสาเหตุสมองขาดออกซิเจน การติดเชื้อในสมอง อาจเกิดขึ้นกับผู้สูงวัยหลังจากอุบัติเหตุทางสมอง
หรือโรคเส้นเลือดสมองตีบตันหรือแตก ในผู้ป่วยบางรายอาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์
สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโรคลมชักนั้น ส่งผลทั้งทางด้านร่างกาย เช่น
เมื่อเกิดอาการชัก ก็จะทำให้ผู้ป่วยล้มลง และเกิดการบาดเจ็บในอวัยวะส่วนอื่นตามมา
ส่วนผลกระทบทางด้านสังคม
ในบางครั้งถึงแม้แพทย์จะยืนยันว่าอาการชักของผู้ป่วยสามารถควบคุมได้แล้วก็ตาม
ผู้ป่วยก็ยังไม่ได้รับโอกาสในการทำงาน
และไม่ได้รับความไว้วางใจจากคนในสังคมเท่าที่ควร จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) และแหล่งข้อมูลอื่น
ๆ พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยโรคลมชักมากกว่า 50 ล้านคนทั่วโลก ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ
2.4 ล้านคน ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคลมชัก ประมาณ 1% ของประชากร หรือประมาณ 700,000 คน
ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคลมชักครบวงจร
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ริเริ่มการรักษาผู้ป่วยโรคลมชักที่ดื้อยาด้วยการผ่าตัดเป็นแห่งแรกของประเทศไทยและของภูมิภาคอาเซียน มีผู้ป่วยผ่าตัดไปแล้วกว่า 1,000 ราย
ปัจจุบันศูนย์ฯ
มีการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อช่วยระบุจุดกำเนิดชักในผู้ป่วยที่มีอาการชักแบบซับซ้อน
ที่ดื้อต่อยากันชักหลายชนิด เครื่องมือดังกล่าวคือเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองด้วยการจัดวางขั้วไฟฟ้าแบบละเอียด
(256-channel
High-density Electroencephalography : HD-EEG) เครื่องมือนี้จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินหาจุดกำเนิดของการชักเพื่อการผ่าตัดได้แม่นยำขึ้น
ประกอบด้วยขั้วไฟฟ้ามากถึง 256 ขั้ว
ซึ่งเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองแบบทั่วไปมีขั้วไฟฟ้าเพียง 21 – 23 ขั้วเท่านั้น
ข้อมูลที่ได้จากการตรวจด้วยเครื่องมือนี้จะถูกนำมาประกอบในการพิจารณารูปแบบและวิธีการผ่าตัด
จะช่วยให้ผู้ป่วยจะได้รับผลข้างเคียงหรือความเสี่ยงจากการผ่าตัดน้อยลง
และยังช่วยลดระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลลงอีกด้วย การรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบประสาท
(neuromodulation therapy) นับเป็นทางเลือกหนึ่งซึ่งสามารถใช้ได้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดได้
ปัจจุบันเครื่องกระตุ้นที่นำมาใช้รักษาโรคลมชักที่ได้รับการรับรองในยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้แก่
vagus nerve stimulation (VNS) และ deep brain
stimulation (DBS) ส่วน responsive neurostimulation (RNS) มีการใช้เฉพาะในสหรัฐอเมริกา การรักษาด้วยเครื่องกระตุ้น VNS นั้นได้การรับรองโดย U.S. Food and Drugs Administration (US FDA) ที่ศูนย์โรคลมชักโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นั้นมีการให้การรักษาด้วยเครื่องกระตุ้น
VNS มาเป็นเวลา 15 ปี ผลการประเมินประสิทธิภาพเบื้องต้นพบว่าผลการรักษาสามารถลดความถี่อาการชักได้มากที่สุดที่
12 หลังการกระตุ้น คือลดได้ประมาณ 20% โดยพบว่าเครื่องกระตุ้น VNS ได้ผลดีที่สุดในกลุ่มผู้ป่วย Lennox-Gastaut syndrome (LGS) ศูนย์โรคลมชักโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มีแนวคิดที่จะนำการรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นเหล่านี้มาให้การรักษากับผู้ป่วยที่ดื้อต่อยากันชักที่มีอาการชักรุนแรง
ไม่สามารถผ่าตัดได้ เพื่อหวังให้อาการชักของผู้ป่วยกลุ่มนี้ดีขึ้น
มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับยากันชักปัจจุบันมีกลุ่มยารุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพดี
สามารถช่วยควบคุมอาการชักได้ดีขึ้น
แต่ยังคงไม่ถูกครอบคลุมด้วยสิทธิ์การรักษาของผู้ป่วย
ยาเหล่านี้มีความจำเป็นในผู้ป่วยบางรายที่อาการชักยังควบคุมได้ยาก โดยศูนย์โรคลมชักจึงจำเป็นที่ต้องหาทุนเพื่อซื้อยาเหล่านี้เพื่อให้การรักษาในผู้ป่วยกลุ่มนี้
โดยมีจำนวน 50 – 100 คนต่อปี
ประโยชน์ที่ผู้ป่วยโรคลมชักจะได้รับ
ผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนของโรคลมชักสูง มีอาการชักที่ควบคุมได้ยาก มีโอกาสเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ทันสมัย ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยในการหายจากอาการชักหรือชักมีจำนวนน้อยลง สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ค่าใช้จ่ายศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์
โรคลมชักครบวงจรโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (ต่อปี)
1.
ค่าพัฒนา (upgrade) เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง High-density EEG 5,000,000.00 บาท
2.
ค่าเครื่องกระตุ้นสมอง (neuromodulation
devices)
สำหรับการรักษาผู้ป่วยที่อาการชักควบคุมได้ยาก 5,000,000.00
บาท
3.
ค่ายากันชักที่ไม่ถูกครอบคลุมด้วยสิทธิ์การรักษาของผู้ป่วย 2,000,000.00
บาท
รวมเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 12,000,000.00 บาท