โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ
2 ของอัตราการเสียชีวิตของคนไทยและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีอายุน้อยกว่า 70 ปี โดยสถานการณ์ทั่วโลกพบว่า 1 ใน 4 ของประชากร ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองมากกว่า 12 ล้านคน (ทุกๆ 3 วินาที
พบผู้ป่วยรายใหม่ 1 คน) และเสียชีวิตมากถึง 6.5 ล้านคน
สำหรับประเทศไทยข้อมูลจากระบบรายงานฐานข้อมูลสุขภาพ (HDC) กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 พบผู้ป่วยสะสม โรคหลอดเลือดสมองจำนวน 358,062 ราย
และเสียชีวิตจำนวน 39,086 ราย โดย 30% อาจเสียชีวิต 30% พิการรุนแรง ขยับแขนขาไม่ได้
ปากเบี้ยว ส่วนผู้ป่วยอีก 40% มีโอกาสกลับคืนสู่สภาพปกติหรือมีอาการของโรคเหลืออยู่บ้าง
จากข้อมูลล่าสุดในปี
2568
ที่เผยแพร่โดยกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขพบว่าโรคหลอดเลือดสมองยังคงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตในประเทศไทย
โดยมีผู้ป่วยใหม่ที่ได้รับการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมองจำนวนมากขึ้นทุกปี สถิติในปี 2567 ชี้ให้เห็นว่าประมาณ 7-8%
ของการเสียชีวิตในประเทศไทยมาจากโรคหลอดเลือดสมอง
โดยส่วนใหญ่จะเป็นในกลุ่มผู้สูงอายุ
แต่ในปัจจุบันเริ่มมีการพบโรคหลอดเลือดสมองในกลุ่มวัยกลางคน (อายุ 30 -50 ปี)
เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง เช่น การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง
การดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ ปัจจัยเสี่ยงหลักที่เพิ่มโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในประเทศไทย
ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงภาวะเครียดและการนอนไม่พอ
ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจรโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พัฒนาการให้บริการการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคสมองขาดเลือด
ทั้งการป้องกันการ เกิดโรค การรักษาและการดูแลต่อเนื่องระยะยาวโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ
ในด้านการดูแลในระยะเฉียบพลัน ศูนย์โรคหลอดเลือดสมองฯ
เป็นผู้ริเริ่มให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำในผู้ป่วยโรคสมองขาดเลือดในระยะเฉียบพลันเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 และนำระบบ Stroke fast
track มาใช้ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นแห่งแรกในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.
2541 ส่งผลให้ในปัจจุบันได้มีการดำเนินการระบบ Stroke fast track อย่างแพร่หลายในประเทศไทยและในภูมิภาค
ถือเป็นแนวทางการรักษามาตรฐานในผู้ป่วยโรคสมองขาดเลือดในระยะเฉียบพลัน
ที่มีหลักฐานชัดเจนว่ายิ่งให้การรักษาเร็ว จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและลดความพิการของผู้ป่วยได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใน
4.5 ชั่วโมงแรกด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ
และมีการตรวจทางรังสีวิทยาโดยตรวจสมองและหลอดเลือดสมอง ได้แก่
การตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิด CT angiography และ CT
perfusion เพื่อประเมินความรุนแรงของสมองขาดเลือดและการอุดตันของหลอดเลือดในระยะเฉียบพลัน
รวมทั้งการตรวจคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (magnetic resonance imaging) ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
นอกจากนี้ยังมีการรักษาภาวะสมองขาดเลือดในระยะเฉียบพลันอีกวิธีหนึ่ง
คือ
การใส่อุปกรณ์ผ่านสายสวนหลอดเลือดเพื่อไปนำลิ่มเลือดที่อุดตันออกจากหลอดเลือดสมอง
(Mechanical
thrombectomy) ได้ตลอด
24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการรักษาที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญพิเศษ
สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ที่มารับการรักษาภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเกิดอาการ ทำให้สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้จำนวนมาก นอกจากจะให้การรักษาผู้ป่วยที่มาโดยตรงที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แล้ว
ศูนย์โรคหลอดเลือดสมองฯ ยังให้การรับปรึกษาและรับส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจากโรงพยาบาลเครือข่ายอื่น
ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึง
การรักษาได้ทันภายในเวลาที่กำหนด รวมทั้งรับส่งต่อเพื่อรักษาโดยการทำ mechanical
thrombectomy
ผู้ป่วยสมองขาดเลือดเฉียบพลันทุกรายที่รับไว้ในการดูแลของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
จะได้รับการดูแลรักษาในหอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke Unit) ซึ่งเป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐานทั่วโลก ในปัจจุบันมีการพัฒนาหอผู้ป่วยวิกฤตโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke ICU) ขึ้นเพื่อรองรับผู้ป่วยสมองขาดเลือดเฉียบพลันที่มีภาวะวิกฤต
ซึ่งทั้งสองหอผู้ป่วยจะได้รับการดูแลจากบุคลากรสหสาขาวิชาชีพที่มีความเชี่ยวชาญ
รวมทั้งมีอุปกรณ์การดูแลรักษาที่ครบถ้วน
และใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการดูแลผู้ป่วย มีหุ่นยนต์ Stroke robot ที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถใช้ติดต่อกับแพทย์ในหอผู้ป่วยและผู้ป่วยได้ตลอดเวลาทั้งในและนอกเวลาราชการ และเมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาและสามารถออกจากโรงพยาบาล ก็ยังมีการดูแลต่อเนื่องในระยะยาว
เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ให้การดูแลรักษาเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาแก่ผู้ดูแลต่อไป